the way - the way นิยาย the way : Dek-D.com - Writer

    the way

    ผู้เข้าชมรวม

    581

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    3

    ผู้เข้าชมรวม


    581

    ความคิดเห็น


    9

    คนติดตาม


    1
    หมวด :  รักอื่น ๆ
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  1 ส.ค. 54 / 18:08 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น
     มาอีกแล้วค่ะ กับเรื่องใหม่
    ครั้งนี้ไม่ได้แต่งฟิค แต่ลองแต่งแนวแปลกไปจากเดิมดูบ้าง(ไม่รู้เขาเรียกกันว่าแนวอะไร><)

    จริงๆไม่ได้คิดพล็อตขึ้นมาจากไหนหรอกค่ะ เรื่องจริงของไรท์ล้วนๆ

    555555


    ......
    สุดท้ายก็อยากขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่าน
    เข้ามาเม้น
    เข้ามาติชม
    ทุกคนน่ารักมากๆ
    และถ้าไรเตอร์มีเรื่องราวใหม่ๆมาอีก ก็ฝากด้วยน่ะค่ะ


    สำหรับ แอนเนท เธท

    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ
       บางครั้งเราก็อยากหยุดช่วงเวลาช่วงหนึ่งเอาไว้ให้นานๆ

       

       

      ฉันก้าวลงจากขบวนรถไฟฟ้าบีทีเอสพลางยกมือขึ้นถูกับต้นแขนน้อยๆ

       

      อากาศหลังฝนตกก็หนาวแบบนี้ล่ะค่ะ

       

      ฉันเหลียวมองไปรอบๆ พลางสูดหายใจรับอากาศเข้าเต็มปอด ก่อนจะสะดุดกึกและหยุดนิ่ง...

       

      คล้ายกับกำลังหลุดเข้าไปอยู่ในนิยายแห่งความฝันเหมือนเมื่อตอนเด็กๆ  เม็ดฝนตัวเล็กตัวน้อยวิ่งเต้นระบำตามท้องถนน แม้จะเป็นไปอย่างบางเบาแต่ก็สม่ำเสมอ

      ในขณะเดียวกันกับที่สองตากำลังทอดมองธรรมชาติในเมื่องใหญ่ สองขาก็ไหลลื่นไปตามฝูงชนที่กำลังรีบเร่งเดินทางกลับบ้าน

       

      ใช้เวลาไม่นานนักร่างตัวเองก็มาหยุดอยู่ที่ป้ายรถเมล์ขาประจำเข้าซะแล้ว

       

      ละอองฝนยังคงตกใส่หัวอยู่พรำๆ พื้นทางเดินยังคงชื้นแฉะไปด้วยหยดน้ำ เสื้อผ้าอาภรณ์ก็คล้ายดูจะเปียกไปนิดๆ

      ฉันสะบัดเส้นผมไปด้านหลังเลียนแบบนางเอกมิวสิควิดีโอก่อนจะยื่นหน้าออกไปเพื่อมองหารถเมล์สายเดิม

       

       

       

      เบอร์8

       

       

       

      ระหว่างที่รออยู่สักพัก ก็มีรถตู้วิ่งเข้ามาจอดมากมาย ผู้คนไหลทะลักกันออกมาอย่างท้วมท้น บ้างก็เดินไปขึ้นรถไฟฟ้าบีทีเอส บ้างก็ลงไปรถไฟฟ้าใต้ดิน บางก็มายืนรอรถเมล์เช่นเดียวกับฉัน

      และในกลุ่มยืนรอรถเมล์นั้น ก็มีหญิงสาวผู้หนึ่งปรากฎ

       

      เธอสวมเสื้อสายเดี่ยวสีขาว กางเกงยีนส์ขาสั้น มีกระเป๋าถือใบเล็กหนึ่งใบ และผมถูกมัดรวบไว้เป็นหางม้า

       

      ร่างกายของฉันนิ่งสนิท สายตาจับจ้องไปยังเธอคนนั้นจนลืมหายใจ

       

      หญิงสาวที่ยืนอยู่ตรงหน้า เป็นคนรูปร่างเพรียวบาง ตัวสูง และผิวสีแทน

      เธอเป็นคนสวยคนหนึ่ง สวยจนน่าจับตามองเลยทีเดียว ดูอายุแล้วก็น่าจะรุ่นราวคราวเดียวกับพี่สาวของฉันนี่ล่ะ เพราะเธอดูยังไม่ใช่คนทำงานซะเท่าไร น่าจะเป็นนักศึกษามากกว่า

      ขณะที่ฉันกำลังสำรวจตรวจตัวเธอพร้อมกับคิดวิจารณ์ไปต่างๆนานาภายในหัว เธอก็ยกมือขึ้นลูบเส้นผมน้อยๆคล้ายกับกำลังจะปัดละอองฝนให้พ้นออกจากตัว ก่อนที่สายตาของเราจะบังเอิญวิ่งมาชนกัน

       

      เหมือนกับมีไฟฟ้าช็อตเข้าที่ใบหู

      ฉันสะดุ้งก่อนจะเสมองไปทางอื่น

       

      สายตาค่อยๆไล่มองรถคันแล้วคันเล่าที่ขับผ่านมาแล้วก็ขับผ่านไปเพื่อหวังว่าจะมีสักคันที่เป็นรถเมล์สาย8เบอร์เดิม

       

      รออยู่ได้สักพัก รถเมล์เจ้าประจำก็เริ่มโผล่หัวออกมาร่ำไร

       แขนข้างลำตัวถูกยกขึ้นเตรียมโบกอย่างอัติโนมัติ...

      แต่ยังไม่ทันจะยกมือขึ้นโบกได้เท่าไร ก็ถูกชิ่งตัดหน้าไปเสียเรียบร้อย

       

      พี่สาวคนเมื่อกี้โบกมือน้อยๆ รถเมล์ก็เลี้ยวเข้ามาจอดตรงหน้าเธอ

      สองขาของเธอก้าวขึ้นไปยังรถเมล์ ฉันจึงไม่รอช้าก้าวตามขึ้นไป

      มันช่างบังเอิญ ที่เราได้ขึ้นรถคันเดียวกัน คนยืนรอรถเมล์เป็นสิบ แต่กลับมีแค่ฉันกับเธอคนนี้ที่บังเอิญต้องขึ้นคันเดียวกัน

       

      ช่างเป็นความบังเอิญที่มีความสุขดีแท้

       

       

      ฉันยืนเกาะราวรถเมล์ได้ไม่นานก็มีที่นั่งว่างพอให้ฉันหย่อนตัวลงไปนั่งได้

      หลังจากหย่อนตัวลงเข้าประจำที่นั่งจนเสร็จเรียบร้อย ขยับตัวนิดบิดตัวหน่อยพอให้นั่งถนัดถนี่ ฉันก็เริ่มกวาดสายตามองหาเธออีกครั้ง

       

      พี่สาวคนเดิมยังคงเกาะราวรถเมล์อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล เธอยืนเฉียงห่างออกไปเพียงแค่หนึ่งช่วงเบาะเก้าอี้

       

       

       

      เมื่อป้ายรถเมล์ป้ายถัดไปมาถึง คนที่นั่งข้างฉันจึงลุกขึ้นก้าวเดินไปยังประตู กดกริ่งและลงจากรถไป

      ที่นั่งข้างลำตัวของฉันว่างอีกครั้ง

       

       

      เสียงถี่ๆจากภายในดังขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า คล้ายกับจะเป็นการร้องขอ แต่บางทีก็คล้ายจะเป็นแค่ประโยคบอกเล่า

       

      ขอให้พี่สาวคนนั้นนั่งลงตรงนี้ด้วยเถอะ

       

      ขอให้นั่งตรงนี้ด้วยเถอะ

       

      ขอให้นั่งด้วยเถอะ

       

       

      นั่งด้วยเถอะ

       

       

      ฟรุบ!

      เสียงสวบสาบข้างกายทำให้รู้แน่ชัดแล้วว่ามีคนจับจองที่นั่งที่ว่างอยู่เข้าเสียแล้ว

      สายตาของฉันค่อยๆเหลือบหันไปมองทีละน้อย ในใจเต้นระส่ำอย่างรัวเร็ว หวังให้ความปรารถนาเป็นจริงซักครั้ง

       

       

      พี่สาวคนนั้น!

       

       

      เหมือนวันนี้ฟ้าจะเป็นใจให้

      ฉันเบื้อนหน้าออกไปมองนอกหน้าต่างอีกครั้ง เพื่อซ่อนรอยยิ้ม

       

       

       

      อยากหยุดเวลาเอาไว้ตรงนี้

       

       

      การเดินทางของเรานั้นเป็นไปอย่างเรียบง่าย หากดูแล้วก็เป็นการเดินทางธรรมดาทั่วไปที่ผู้คนมักพบเจอกันทุกวัน หากแต่วันนี้การเดินทางครั้งนี้กลับกำลังแสนวิเศษ

       

      เมื่อคนที่นั่งข้างกันนั้นชวนให้ความรู้สึกอบอุ่นหัวใจ

       

       

      ฉันเป็นคนตกหลุมรักคนง่าย หลายคนบอกว่าฉันเป็นพวกรักแรกพบ หลายคนบอกว่าฉันเป็นพวกหลายใจ แต่ไม่ว่าหลายคนจะบอกยังไง ฉันเชื่อใจความรู้สึกตัวเองมากกว่า

      ฉันไม่รู้หรอกค่ะว่ารัก ว่าชอบ มันคืออะไร มันเป็นแบบไหน

      ฉันรู้แค่ฉันพึงพอใจ พอใจกับคนคนนีั คนแบบนี้ อาจจะไม่ต้องดีเลิศเลอ อาจจะไม่ต้องเป็นคนเพอร์เฟค อาจจะไม่ต้องมีขั้นตอนอะไรมากมาย แค่ความรู้สึกมันดังออกมาว่ากำลังตกหลุมรัก แค่นั้นมันก็ใช่ที่สุด

       

      และในครั้งนี้ก็เช่นเดียวกัน

       

       

      สายตาของฉันกับเธอต่างมองออกไปคนละทาง แต่ก็มีบ้างที่บางครั้งฉันแอบเห็นเธอเหลือบมองมาที่ฉัน และเช่นเดียวกันฉันว่าเธอก็ต้องแอบเห็นฉันเหลือบมองมาที่เธอ

       

       

       

       

       

      ป้ายรถเมล์ที่ต้องลงใกล้จะถึงแล้ว

       

      ฉันสูดลมหายใจเข้าเต็มปอด นึกอยากจะนั่งรถเมล์ต่อซะตรงนี้ไปอีกนานๆ แต่คงทำอย่างนั้นไม่ได้

      ในเมื่อทำไม่ได้ฉันจึงต้องกลั้นใจ ลุกขึ้นยืนเต็มตัวก่อนจะก้าวเดินจากเธอไป

       

      ฉันไม่รู้เธอจะรู้สึกอะไรไหม ที่ฉันเดินจากมา ฉันไม่รู้เธอจะรู้สึกแบบที่ฉันรู้สึกตลอดการเดินทางไหม

      แต่ไม่ว่าจะอย่างไร การเดินทางครั้งนี้ของฉันก็สุขใจเกินพอ

       

       

      มีเริ่มต้น ก็ต้องมีสิ้นสุด แม่ฉันพร่ำสอนอยู่บ่อยครั้ง วันนี้ก็เช่นเดียวกัน

      มีพบ ก็ต้องมีจาก มีเข้ามา ก็ต้องมีออกไป

      อยู่ที่ว่าช่วงเวลาไหนที่จะเลือกเดินเข้ามา หรือช่วงเวลาไหนที่จะเลือกเดินจากไป

       

       

       

      สองขาก้าวไปข้างหน้าอย่างกระฉับกระเฉง ลำตัวยืดตรงอยู่เต็มความสูง ใบหน้าแย้มยิ้มอย่างเป็นมิตรกับรอบข้าง

      หลังจากก้าวลงจากรถเมล์ ฉันต้องใช้เวลาอีกหน่อยเพื่อยืนมองเธอจากไปและใช้เวลาอีกหน่อยเพื่อเดินเท้ากลับเข้าบ้าน

      ในใจยังรู้สึกเสียดายเล็กๆ คิดวกไปวนมาว่า อย่างน้อยน่าจะพูดว่าบ้ายบายซักคำสองคำพอให้เป็นมิตรเล่นๆ เพราะไหนๆเราก็ไม่เคยรู้จักกันอยู่แล้ว การที่จะทำอะไรแปลกๆไปซะหน่อยก็คงจะสนุกไม่ใช่น้อย แต่อีกใจก็ตีอกชกหัวพลางป่าวประกาศตะโกนร้องอย่างบ้าคลั่งว่าอายเกินกว่าที่จะทำแบบนั้น

      จนสุดท้าย ถึงแม้จะไม่ได้บอกลา แต่ว่า...

       

       

      บ้ายบายน่ะค่ะ พี่สาวคนสวย

       

       

      ฉันก็พร่ำพูดคำนี้อยู่ในใจ

       

      จะว่าไปชีวิตก็ไม่ต่างกับการเดินทาง บนรถของเราก็เหมือนชีวิตของเรา อาจจะมีผู้คนนับสิบๆที่เดินทางร่วมไปด้วยกัน มีจุดหมายปลายทางเดียวกันบนเส้นทางเดียวกัน ผู้คนที่เราพึงพอใจก็อาจจะเป็นคนที่นั่งอยู่ข้างเราบนรถเมล์ ผู้คนที่ลงรถป้ายเดียวกันก็อาจจะเป็นเพื่อนสนิทที่อยู่เคียงข้าง ผู้คนที่นั่งอยู่ข้างหน้าหมุนพวงมาลัยไปตามทางก็อาจจะเป็นผู้แนะนำเส้นทางที่ถูกที่ควรของชีวิต ผู้คนบนโลกต่างมีความหมาย

      เช่นเดียวกับที่พี่สาวคนนั้นที่มีความหมายกับฉันในส่วนเล็กๆ

       

      มีเริ่มต้นก็ต้องมีจุดจบ

      ในวันนี้ ฉันเดินทางจากมาจากคนสวยคนหนึ่ง เพื่อมาพบคนสวยอีกคน

       

      แม่ค่ะ หนูกลับมาแล้ว












































      คนสวยและงดงามที่สุดสำหรับฉัน



      ........................................................................

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×